หนาวแล้วกอดใคร หนาวไหมไปกอดกันแก้หนาว... ^^ เขาค้อ นครชุม น้ำหนาว



      ฮาโหล โย เย้ มาๆ หมดฝนหลงฤดูกันแล้ว ว่าแล้วก็ ไปหาที่หนาว ท้าหนาว หาหมอก ล่าช้างเผือก กันเถอะจะเกิดความสุขทางใจอันใหญ่ยิ่ง ทริปนี้ เป็นทริปที่พลาดจากการวางแผนว่าจะไปเหนืออออออ เลยต้องไปที่อื่นแทน เราเดินทางกันตั้งแต่คืนวันศุกร์ และเราก็ว๊าปปปปป ไปเช้าวันเสาร์ที่ เพชรบูรณ์ ที่ เขาตะเคียนโง๊ะ ไปดูหมอก ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันเนอะ ว่าแล้วไปดูวิวสวยๆ คนสวยๆ แฮร่ ^^



เขาตะเคียนโง๊ะ  ตั้งอยู่ในตำบลหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์  เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งบนเขาค้อ  ที่สามารถ สามารถชมทะเลหมอกได้รอบทิศแบบ  360  องศา พร้อมบรรยากาศของพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า จากจุดชมวิวเขาตะเคียนโง๊ะสามารถมองเห็นวิวทิวเขาอันสวยงามที่อยู่เบื้องหน้าเป็นเขาปู่ เขาย่า ที่มีรูปทรงคล้ายภูเขาไฟฟูจิ  รวมถึงผืนป่าของเขาค้อและเส้นทางถนนที่ทอดยาวมายังจุดชมวิวที่อยู่เบื้องล่าง




หมอกมีพอสมควรแต่ไม่ถึงกับหนาแน่น แต่อากาศช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หนาวววววววววว เอาเรื่องเหมือนกัน แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นก็เริ่มอุ่นขึ้นตามสภาพอากาศของพระอาทิตย์ของประเทศเรานะจ๊ะ ฮ่าๆๆๆๆ ไม่ต้องถามว่าแดดเป็นยังไงเนอะ รู้ๆกันอยุ่



 หลังจากเพลิดเพลินกับวิวกันแล้วเราก็เปิดว๊าปไปที่อื่นกันต่อนั่นคือออออออออเลาะวิวจุดชมวิวของเขาค้อกันไป เจอหมอกแน่นๆกับอากาศเย็นๆและแดดแบบเปรี้ยงๆกันไปสินะ



ทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 3 หนุ่ม 2 สาวกับอีกหนึ่งตัวน้อยๆเนอะ หนุ่มๆเค้าก็จะมีมุมในการโพสท่าของเค้ากันสิเนอะๆๆๆๆๆๆก็ดูเพลินๆกันไปสินะ ส่วนท่านี้เค้าเรียกว่าท่าอะไรกันนะ ฮ่าๆๆๆ ต้องดูดราก้อนบอลเนอะถึงจะรู้ใช่ป่ะว่าเค้าเรียกว่าท่าอะไร รู้แต่แดดเผาหน้าจะพังฮ่าๆๆๆๆๆๆ



ว๊าปมาแล้ว ร้านกาแฟที่เค้าว่าวิวหลักล้าน กาแฟแก้วหลักร้อย แล้วแต่คนชอบเนอะ ส่วนตัวคิดว่าคงแพงเพราะวิวด้วย ไปถึงช่วงสายๆก็อากาศยังเย็นอยุ่แต่แดดก็เปรี้ยงมาเช่นกัน



 ถ่ายรูปกลางแดดจนหน้าฝ้าจะขึ้นเอานะ ฮ่าๆๆๆๆ แต่ก็สู้ตาย ทั้งกล้องมือถือ กล้องมิลเล่อ กล้องฟลูเฟรม ขนกล้องไปกี่ตัวถ่ายกันไปเรื่อยเปื่อย เราไม่เหนื่อยเราไม่ท้อ ฮ๋าๆๆๆๆ แดดดีจนต้องร้องขอชีวิตกันเลยทีเดียวเชียว ^^



แล้วเราก็ว๊าปจากเพชรบูรณ์มาที่ พิษณุโลก เมืองสองแคว กันเถอะ ฮ่าๆๆ ว๊าปมาคืนแรกนี้เรานอน โฮมสเตย์ชาวบ้าน นอนบ้านชาวบ้านค่าใช้จ่ายตกหัวละ 450บาทต่อคน มีข้าวเย็น กับข้าวเช้า กับข้าวและข้าวของชาวบ้านที่เราไปพัก ไข่ใบตองทอดโดยไม่ใช้น้ำมัน หลามไก่ เอาไก่ไปทำในกระบอกข้าวหลาม กับข้าวพื้นบ้านกับข้าวที่ชาวบ้านปลูกเอง คือดี คือฟิน คืออร่อยแบบบ้านๆจริงๆ ใครสนใจวิถีชาวบ้านแนะนำนะคะ ร่องเขาแห่ง นครชุม จ.พิษณุโลกค่ะ


ทางช้างเผือก คือดาราจักรที่เป็นที่ตั้งของระบบสุริยะและโลกของเรา ชื่อภาษาอังกฤษของทางช้างเผือก มาจากคำภาษากรีกว่า γαλαξίας κύκλος โดยเมื่อมองบนท้องฟ้าจะปรากฏเป็นแถบขมุกขมัวคล้ายเมฆของแสงสว่างสีขาว ซึ่งเกิดจากดาวฤกษ์จำนวนมากภายในดาราจักรที่มีรูปร่างเป็นแผ่นจาน


และคืนนี้ที่นครชุมช่วงหัวค่ำ เราก็ตามล่าหาช้างเผือกได้สำเร็จตัวใหญ่เป้งกันเลยทีเดียวเชียว มันเป็นอะไรที่แบบ พิเศษ การได้เจอกลุ่มดาวรวมตัวกันเยอะมากกกกกก จนเค้าเรียกว่าทางช้างเผือกนั่นเอง มันฟินแบบบอกไม่ถูกรู้แค่ แอบดีใจที่ได้เจอ และมันดีต่อใจจังเลย....



ว๊าปเก่งงงงงงงงงงงงงงง เช้าแล้วว๊าปมายอดเขาโปกโล้นกันเถอะ เดินขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เดินประมาณ 1.8-2.0 กิโล ไปกลับก็ราวๆเกือบ 4.0 กิโล ชิวๆ เสน่ห์ยอดเขาโปกโล้นสำหรับที่เราเห็นก็คือ หมอกที่ไหลตามช่องเขาออกมาเรื่อยๆแบบไม่มีหยุด ไหลปกคลุมจนทั่วหมู่บ้านจนเป็นทะเลหมอก สำหรับเรานี่แหละเสน่ห์ของเมืองรองอย่าง พิษณุโลก และที่นี่คือ ร่องเขาแห่งนครชุม


และเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นมาสาดส่องหมอกเริ่มจาง เราก็จะเริ่มเห็นหมู่บ้าน หลังคาบ้านที่เมื่อสักครู่มีแต่หมอกบดบัง ก็เริ่มเห็นเมื่อหมอกจางลง นี่แหละเสน่ห์ของธรรมชาติ และนี่แหละเสน่ห์ของจังหวัดต่างๆในประเทศไทย ที่ไม่ไปไม่มีทางได้รู้



ขอแค่เพียงลองเปิดใจไปสัมผัส เชื่อเถอะ คุณจะหลงรักกับสถานที่ต่างๆที่คุณเคยมองข้ามไป คุณจะหลงรักแบบไม่มีเหตุผล


ทุกครั้งที่ไปถึงยอดเขาไม่ว่าเขาไหนก็ตาม มักจะหายเหนื่อยไปเมื่อได้เจอวิวและหมอกแบบนี้ มันทำให้ร่างกายสดชื่นโดยไม่รู้ตัว เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ อยากรู้ต้องลองไปกันนะคะ



เราไปและกลับ โดยรถอีแต๊ก ของลุงในหมู่บ้าน และลุงที่ขับรถอีแต๊กพาเราไปก็เป็นไกด์ พาเราไปสู่ยอดเขาโปกโล้นอีกด้วย ทั้งขึ้นและลงลุงดูไม่เหนื่อยและไม่หอบเลย แต่เราซึ่งว่างเป็นวิ่งกลับหอบทั้งขึ้นและลง ฮ่าๆๆๆๆๆ นี่ละเนอะคนกรุง



ออกเดินทางจากนครชุมกับมาเพชรบูรณ์มุ่งหน้าไปน้ำหนาว และจุดชมวิวระหว่างทางที่จัดว่าเป็นไฮไลท์ก็คือตรงนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ "สะพานพ่อขุนผาเมือง" อ.หล่มสัก นั่นเอง

สะพานพ่อขุนผาเมือง หรือสะพานห้วยตอง เป็นสะพานที่มีตอม่อสูงที่สุดในประเทศ (50 เมตร) อยู่บนทางหลวงหมายเลข 12 ที่เชื่อมภาคเหนือกับภาคอีสานครับ สะพานอยู่ใกล้แยกเข้าอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว เชื่อมระหว่างภาคเหนือตอนล่างกับภาคอีสาน
ออกแบบโดยกองสำรวจและออกแบบกรมทางหลวง สร้างตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน ปี 2516 แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 3 มิถันายน 2518 เปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 2518 โดยมีความกว้างของผิวจราจรเพียง 9.50 เมตร ความยาวของสภาพ 180.00ม.

บอกแล้วไงว่า ว๊าปเก่ง ส้มอี๊ดไงจะใครละ ถึงแล้วววววว น่าจะประมาณ บ่าย 3 โมงกว่าๆอากาศอยุ่ที่ 26 องศานะจ๊ะ ไม่ต้องถามว่ากลางคืนอากาศจะเป็นเยี่ยงไร แต่มาลุ้นว่าคืนนี้ เราจะล่าท้าช้างเจอกันอีกไหมไปลุย
















ยู้ฮู้ มืดแวววววววววววววววววววววกมาล่าท้าช้างกันดีกว่า เราไปล่ากันในลานทำกิจกรรม ของ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว คืนนี้ค่อนข้างจะมืดไม่มีแสงเนื่องด้วยเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ มีลานกิจกรรม ลานกางเต้นท์แยกโซนชัดเจน และโซนนี้เปนโซนลานกิจกรรมสำหรับน้องๆที่มาเข้าค่าย แต่วันที่ไปไม่มีใครมาเข้าค่ายเลยทางสะดวกแบบ มืดตืบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ เห็นดาวกันอย่างชัด และอากาศคือแบบว่าอย่างเย็นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ถึงกับหัวชื้นเนื่องจากน้ำค้างแรงกันเลยทีเดียวเชียว แต่อย่างที่บอก มันคือความสุข สุขที่ได้เสพธรรมชาติ สุขที่สัมผัสอากาศเย็นแบบที่หาที่กรุงเทพไม่ได้นั่นเอง



ปิดท้ายทริปด้วยป้ายอุทยานกับหน้าคนพาเที่ยวนะคะ ใครสนใจจะกางเต้นท์หรือเช่าเป็นบ้านพัก ก็ติดต่อที่อุทยานของน้ำหนาวได้เลยนะคะ ที่น้ำหนาวนี้ไม่มีเวลาเปิดปิดนะคะ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเปิดตลอด สามารถโทรหรือเข้าไปติดต่อได้เลยจ้า เจ้าหน้าที่บริการดี แนะนำดี ว่างก็ไปท่องเที่ยวทั่วไทย เมืองหลัก เมืองรองกันเนอะ อุดหนุนหมุนเวียนเงินในประเทศกัน ..... แล้วไว้ทริปหน้าเดี๋ยวมาใหม่ จะมีหนาวอีกไหม จะมีหมอกอีกหรือป่าว จะเจอดาวเต็มท้องฟ้าอีกไหม เดี๋ยวมารอดูทริปหน้า


ปอ ลอ ... ฝากบล็อคไว้ให้ติดตาม ติชมกันด้วยนะจ๊ะ กราบบบบบบบบที่อกงามๆค่ะบัยยยยยยยย


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ผู้หญิงหน้าร้ายกับตากล้องใจดี๊ดี ^^

ชุมชนจีนซากแง้ว

ร่องเขานครชุมวันที่โนอึลถล่มไทย