Hello Tokyo (Ueno Park) Part 4


          เฮโหลลลลลล วันที่ 4 ในประเทศญี่ปุ่นของฉัน เช้าวันนี้เรากินข้าวเช้าจากที่พักกันแล้ว เราก็ออกเดินทางด้วยรถไฟฟ้าสาย GINZA (สายสีส้มๆ) มาลงสถานี Ueno Park และมันก็คือดีมากที่เราได้เจอ ซากุระ เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ถึงจะไม่เยอะแต่เราก็ได้เจอแบบเต็มๆต้น 2-3ต้น กลิ่นซากุระจางๆ ถือว่าปีนี้มาแล้วคุ้มแล้ว ฟูจิซังก็ได้เจอ หิมะก็ได้เจอ แถมท้ายด้วยซากุระแบบทั้งต้นถึงแม้จะไม่ทั่วทั้งเมืองแต่ก็คุ้มแล้วที่ได้มาเห็น และรูปที่เห็นก็เป็นรูปหมุ่ของเรา 13 คนแต่ขาดอีกเช่นเคย อีนังคลองบงหรือเบียร์นั่นเอง ไม่รู้หายไปไหน มาอีกทีก็เค้าเลิกถ่ายรูปกลุ่มแล้ว ฮ่าๆๆๆ ช่วยไมไ่ด้เนอะ


      รออะไรละจ๊ะในเมือเป็นไฮไลท์ของสวนอุเอโนะแล้ว เจอซากุระแล้ว ตากล้องพร้อมแล้ว หน้าร้ายก็แอคท่าไปสิคะรัวๆๆๆๆๆๆๆ นอกจากหน้าร้ายแล้ว เราไปดูคนอืนกับซากุระกันบ้างดีกว่าเนอะ ^^







































 รูปคู่รูปเดี่ยว แอคกันไปแต่ละมุม พร้อมความสดใส สดชื่นกันเช้านี้นะจ๊ะ รู้สึกเหมือนว่าช่วงที่ไปจะเกือบปลายเดือนมีนาคมแล้วน่าจะอยุ่ช่วงวันที่ 19หรือ20นี่แหละ แต่เห็นว่าช่วงที่หน้าร้ายและชาวคณะกลับไทยแล้วที่ สวนอุเนโนะนั้นเค้ามีจัดงาน ซากุระบานทั่วทั้งสวนอยุ่นะ คงฟินน่าดูเนอะถ้าแบบว่าเดินไปทั้งสวนก็ชมพู๊ ชมพูไปหมดเลยอ่าาาาาา ^^


อันนี้เป็นโคมที่น่าจะมีความหมาย และก็ต้องอะไรสักอย่างแหละเพราะว่าจัดไว้ใหญ่มากตรงหน้าทางเดินเข้าสวนอุเนโนะ ในมุมนี้ก็มีความเก๋ไก ญี่ปุ่นทำอะไรก็แล้วแต่ มันดูเก๋ไปหมด น่าถ่ายรูปไปหมดเลยจริงๆนะ ไม่ได้อวยนะ แต่มันรู้สึกว่า แค่เอาตัวเองไปยืนแอคท่ากับแบลคกราวอะไรแบบนี้ก็ได้แล้วอ่ะ



รูปคู่บ้าง รูปเดี่ยวบ้าง ใกล้ ไกล แล้วแต่กล้องแล้วแต่มุมของแต่ละคนเนอะ แต่สังเกตุได้ว่ามันมีแต่รอยยิ้ม มันมีแต่ความสุข กับบรรยากาศรอบตัวที่ได้เห็นจริงๆเลย สดชื่นจังเลยเช้านี้ที่ญี่ปุ่น ฟินเฟร่อ


สวนอุเอโนะ(Ueno Park) เรียกได้ว่าเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของโตเกียว ที่ถ้ามาแถวๆย่านอุเอะโนะรับรองว่ามาแล้วไม่ใช่นั่งพักผ่อนเพลินๆเฉยๆแน่นอน เพราะสวนสาธารณะแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงสวนธรรมดาๆนะคะ แต่ข้างในบอกเลยว่าครบเครื่องมากๆ โดยภายในมีทั้งวัด ศาลเจ้า ทะเลสาบ และสวนสัตว์ มีต้นไม้มากมาย ให้บรรยากาศร่มรื่นจึงเป็นสถานที่ที่ชาวโตเกียวนิยมมาพักผ่อนกัน ช่วงปกติที่ว่าคนนิยมมาแล้วบอกเลยว่าจะพีคสุดๆก็ช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกๆปีนี่เองล่ะค่ะ




 จากการที่มีต้นซากุระเรียงรายอยู่ทั้งสองข้างยาวไปตามทางเดินภายในสวน มีจำนวนมากกว่า 1,000 ต้น ซึ่งมักจะบานช่วงประมาณปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเดือนเมษายน ทำให้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาเยี่ยมชมในเทศกาลชมดอกซากุระ หรือที่เรียกกันว่า เทศกาลงานฮานามิ บอกเลยว่าถึงช่วงนั้นคนจะแน่นไปอยู่บ้างแต่ก็คุ้มนะคะ เพราะซากุระบานสะพรั่งพร้อมๆกันเต็มพื้นที่ไปหมดนี่เป็นอะไรที่สวยจนเกินบรรยายจริงๆ ยิ่งถ้ามาในช่วงเทศกาลงานฮานามิยิ่งจะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นแบบจริงจังอีกด้วย


สวนอูเอโนะ (ญี่ปุ่น上野公園 โรมาจิUeno Kōen) เป็นสวนสาธารณะที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ ตั้งอยู่ในอูเอโนะ แขวงไทโต โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นที่ตั้งของวัดคังเอจิ โชกุนตระกูลโทกูงาวะเป็นผู้สร้างวัดนี้เพื่อคุ้มครองปราสาทเอโดะจากการโจมตีของฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ วัดนี้ถูกทำลายในช่วงสงครามโบชิน


สวนอูเอโนะได้รับการอนุญาตให้สร้างบนที่ดินจักรพรรดิ โดยจักรพรรดิไทโช ในปี ค.ศ. 1924 มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อูเอโนอนชิโกเอ็ง (上野恩賜公園) แปลว่า "สวนอูเอโนะ ของขวัญจักรพรรดิ"
รูปปั้นที่มีชื่อเสียงเป็นรูป ไซโง ทากาโมริ กำลังพาสุนัขของเขาเดินเล่นในสวนนี้
นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่น มักจะมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ (พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติโตเกียว พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ และ พิพิธภัณฑ์ศิลปะตะวันตกแห่งชาติ) หอคอนเสิร์ต สระชิโนบาซุ และสวนสัตว์อูเอโนะ



หัวรถจักรไอน้ำ ตั้งอยู่หน้าพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
สวนอูเอโนะและพื้นที่รอบข้างเป็นที่รู้จักและปรากฏอยู่ในนิยายญี่ปุ่นหลายเรื่อง และมีคนไร้บ้านเข้ามาอาศัยอยู่



รูปกับซากุระมันเยอะสะเหลือเกินนนนนนนนนนนนนน ขอหน้าร้ายอวดความสวยของซากุระหน่อยเนอะ ใครเบื่อก็เลื่อนๆผ่านไปเนอะ แต่แวะดูหน่อยก็ดี มันสดชื่นจริมๆ ซากุระนะที่ทำให้สดชื่นไม่ใช่หน้าร้ายนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ


มาจ้า ว๊าปเก่ง หน้าร้ายเองไงจะใครละ ฮ่าๆๆๆ เปลี่ยนจากสวนอุเอโนะมาเป็น พระราชวัง อิมพิเรียลกันบ้าง ตอนนี้กำลังตกลงกันว่าเราจะเดินไปดู ไปเที่ยวข้างในประสาทกัน หรือจะเดินแค่รอบนอกดี



















































ประตูทางเข้าพระราชวังนั้นจะมีทหารและคนตรวจกระเป๋าอยุ่ทางด้านประตูแรก เข้ามาจะเป็นประตูไม้อีกนะคะ มีเวลาเปิดและปิดให้เข้าชมนะคะ







































พอเข้ามาแล้วในพระราชวังค่อนข้างจะร่มรื่นพอสมควรเลยทีเดียว เขียวด้วยต้นไม้หลายหลายชนิดกันเลยทีเดียวเชียว เจอมุมเล้กๆสวยๆ หน้าร้ายและชาวคณะก็แวะถ่ายสิคะ จะรอรีทำไม


เดินบ้างพักบ้าง เราเดินกันไปเรื่อยๆ ถึงเราเหนื่อยถึงเราเมื่อยก็ตาม ฮ่าๆๆๆๆ ก็หาที่พักกันไปเป็นจุดๆเนอะ หาเหนือยหาที่ไปต่อได้เราก็ลุยยยยยยยยยยยยยกันต่อไป


พระราชวังหลวง (ญี่ปุ่น皇居 โรมาจิโคเกียว) เป็นที่ประทับหลักของจักรพรรดิญี่ปุ่น เป็นพื้นที่คล้ายสวนขนาดใหญ่อยู่ในแขวงชิโยดะ กรุงโตเกียว ใกล้กับสถานีรถไฟโตเกียวประกอบด้วยพระราชมนเทียร พระตำหนักของพระราชวงศ์ พิพิธภัณฑ์ของสะสมในพระองค์ สำนักพระราชวังหลวง และอุทยานต่าง ๆ



พระราชวังนี้สร้างขึ้นบนพื้นที่เดิมของปราสาทเอโดะซึ่งเป็นที่อยู่ของโชกุนจากตระกูลโทกูงาวะ พระราชวังเดิมถูกระเบิดทำลายลงไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และได้รับการบูรณะใน ค.ศ. 1964 พื้นที่โดยรวมมีขนาด 1.15 ตารางกิโลเมตร[1] ในช่วงสูงสุดของภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่เมื่อคริสต์ทศวรรษ 1980 มีผู้ประเมินราคาพื้นที่พระราชวังไว้ว่า สูงยิ่งกว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในแคลิฟอร์เนีย






































และในพื้นที่ของพระราชวังอิมพิเรียล มันทำให้หน้าร้ายยิ้มได้กว้างอีกเมื่อ หน้าร้ายได้เจอกับ ซากุระสีขาวววววววววววววววววววววววววววว ทำให้ฟินไปอีก800ตลบกันเลยทีเดียวเชียว ฮ่าๆๆๆ มันดี๊ดีอ่ะ ทำไมทริปนี้ หน้าร้ายโชคดีแบบนี้ละ ^^















































เจอซากุระขาวแล้วก็ได้เวลาแอคชั่นกันนะสิจ๊ะ เครดิตรูปจากกล้อง เบียร์ คลองบง นาจา สำหรับซากุระขาวๆในพื้นที่พระราชวังอิมพิเรียลนี้นะจ๊ะ


เหตุการณ์นี้เรากำลังตกลงกันว่าเราจะไปดู สะพานนิจูบาชิ (สะพานแว่นตา) และสรุปว่าเราต้องเดินออกไปจากตัวพระราชวังและเดินออกไปอีกประมาณ 2 กิโลเพื่อไปดูสะพานเเว่นตา ซึ่งเป็นอีกไฮไลท์นึงของ พระราชวังอิมพิเรียลนี่ก็ว่าได้


แล้วเราก็เดินออกมาเรื่อยๆ ออกนอกมานอกรั้วเราก็จะเห็นป้อมต่างๆของพระราชวังอิมพิเรียล  มุมนี้ตากล้องเบียร์ คลองบงก็ถ่ายอีกเช่นกันเราเลย ลั้นลากันตรงนี้สะหน่อย ลองไปดูคนอื่นบ้างว่ามุมนี้แอคท่าไหนกัน ^^































จัดกันไปคนละแชะสองแชะถือเป็นการพักกันไปในตัวว่าแล้วก็เดินจ้าาาาาาาาาาาาา เดินกันไปต่อ ไปตามหาสะพานแว่นกันเถิดดดดดดด เริ่มหิวล้าว

ก็เดินกันเป็นกลุ่มเป็นคู่ เดินคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จับรูปใครได้ก็จับไประหว่างทาง อากาศเย็น แต่แดดก็ร้อนเหมือนกันแหละ แต่ก็เดินไปกันได้ชิวๆเพราะวิวสบายตามากจริงๆ


สะพานนิจูบาชิ (Nijubashi Bridge) เป็นสะพานที่ใช้ข้ามไปยังพระราชวังอิมพีเรียล ซึ่งมีลักษณะเป็นสะพาน 2 ชั้น (Nijubashi แปลว่า Double Bridge หรือ สะพานคู่ ) ซึ่งบริเวณนี้จะมีสะพานเหล็กที่อยู่ด้านหลังเพื่อเชื่อมเข้าเขตพระราชวัง 



ส่วนสะพานหินที่อยู่ด้านหน้า มีรูปร่างเป็นครึ่งวงกลม เมื่อสะท้อนกับผิวน้ำมีลักษณะคล้ายแว่นตา จึงมักเรียกสะพานนี้ว่าเมกะเนะบาชิ (Meganebashi แปลว่า สะพานแว่นตา) สะพานแห่งนี้เป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยจะนิยมมาช่วงเช้าเพื่อที่จะได้เห็นแสงสะท้อนคล้ายแว่นตา



วิวดีเนอะ ขนาดว่าในเมืองโตเกียวมีแต่ตึก









































ยืนดูสะพานแว่นกันแล้ว เราก็หามุมถ่ายรูป แต่ดูจากรูปที่ถ่าย คนสะมากกว่าที่เต็มกล้องไปหมด ฮ่าๆๆๆๆ ขอบคุณภาพเผลอๆจากเบียร์คลองบง และ 2หนุ่มกับอีก1สาว โสดๆๆๆๆๆๆ ด้วยนะจ๊ะ



หิวแล้ว ว่าแล้วเราก็เดินๆๆๆๆๆๆ และเดินๆๆๆๆๆ ไปหาไรกินกันเถอะ แต่วิวระหว่างทางทำให้เราเองก็ต้องหยุดเพื่อยกโทรศัพท์มาถ่ายรูป



และแล้วก็มีคนมาต้อนรับระหว่างเรายืนถ่ายรูปวิว ว่ายน้ำดิ่งมาหาเลย ทำไมน่ารักแบบนี้ แต่เราไม่มีขนมหรืออะไรติดไม้ติดมือมาให้เลย คิดว่าคงมีใครเคยให้ พอเห็นคนมายืนปุปก็รีบว่ายน้ำมาปั๊ปเลย เอ็นดูน่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ^^


และแล้วก็ถึงสักที ว๊าปมา มื้อนี้เรากินบุปเฟ่ขาปูกันเนอะ ก็เลือกกันไป เนื้อๆ เน้นๆ แน่นๆ ฮ่าๆๆ หิวจัดแล้ว ว่าแล้วก็ ลุยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


ยกให้นายแบบไป โชว์กล้ามปูไปทีนึงเนอะ ^^


ซูชิกับกุ้งก็ดี๊ดี เนื้อก็น่าจะดีจานนี้ของคนอืน แอบถ่ายมา ฮ่าๆๆๆๆ ^^


จานน่ารัก เป็นหลุมๆ เอาไว้ตักของกิน ตักขนมซึ่งมีหลากหลาย มากมาย เราก็ตักไปเรื่อย กินไปเรื่อย ชิมไปเรื่อยๆหลายสิ่งอย่าง ถ่ายทันบ้าง ถ่ายไม่ทันบ้าง หิวแล้วอ่ะเนอะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ



วิวห้องน้ำบนตึกที่เราไปกินบุปเฟ่ปูกัน เห้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยมันดี เข้าแล้วไม่อยากออกเลยอ่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ ระหว่างยืนล้างมือไปก็ดูวิวไป ทำไมที่นี่ตึกเยอะแยะ แต่ทำไมดูโล่ง ดูสบายตา ทำไมดูหน้าอยุ่จังเลยอ่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา ^^


อิ่มแล้วมีพลัง ว๊าปเก่ง มาต่อกันที่นี่จ้า Tokyo Tower ที่นี่มีวิวสวยๆให้ดู มีดงวันพีชให้เข้า ว่าแล้วเราก็ไปๆๆๆๆ ไปดูวิว ดูบรรยากาศข้างในกันเถอะ


























โตเกียวทาวเวอร์ (ญี่ปุ่น東京タワーโทเกียวทะวาอังกฤษTokyo Tower) คือหอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มีความสูง 332.6 เมตร (1,091 ฟุต)[1] สร้างแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2501 (ค.ศ. 1958)
นอกจากจะเป็นหอคอยที่ไว้ส่งสัญญาณคลื่นวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ เช่น NHK TBS ฯลฯ แล้ว โตเกียวทาวเวอร์ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงโตเกียวอีกด้วย โดยปีหนึ่งจะมีคนเข้าชมหอมากกว่า 2 ล้าน 5 แสนคน





















บริเวณหอคอยสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ส่วนล่างสุดเป็นอาคารสูง 4 ชั้นที่ตั้งอยู่ใต้หอโดยตรง ภายในประกอบด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านคา ภัตตาคาร ฯลฯ อีก 2 ส่วนที่เหลือเป็นจุดชมทัศนียภาพของหอคอย ตั้งอยู่บนความสูง 150 เมตร และ 250 เมตรตามลำดับ



โตเกียวทาวเวอร์แห่งนี้มีความสูงใกล้เคียงกันมากซึ่งหอไอเฟลสูงกว่าแค่ 13 เมตรเท่านั้นเอง เอาจริงๆแล้วต้นแบบของที่นี่ก็เป็นหอไอเฟลที่ปารีสประเทศฝรั่งเศสนี่แหล่ะค่ะ โดยที่โตเกียวทาวเวอร์สร้างเสร็จเมือประมาณปี ค.ศ. 1958 และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองโตเกียวนับแต่นั้นมาจวบจนถึงปัจจุบัน ใครที่อยากช็อปปิ้งหรือถ้าของฝากก็สามารถซื้อหาได้ที่บริเวณชั้น 1 แถวๆที่ขายตั๋วด้วยนะคะ รับรองว่าจะเป็นอีกหนึ่งของฝากที่มีเอกลักษณ์มากเลยล่ะค่ะ




ในส่วนของการเข้าไปดูวันพีชนั้นก็จะเป็นน้องบอล น้องอาร์ม น้องโบ และเบียร์เข้าไป อันนี้ข้างในก็จะมีเกมให้เล่น มีให้ถ่ายรูป มีร้านอาหารต่างๆ อันนี้หน้าร้ายไม่ได้เข้านะคะ เอาไว้มีโอกาศรอบหน้าค่อยเข้าไปเนอะ สงสัยต้องไปหาดูวันพีชก่อนเผื่อจะอินกว่านี้




เดินเที่ยวเล่นชมวิวกันจนมืด รอน้องเข้าไปดูวันพีช พวกพี่ๆ ลุงๆป้าๆ ก็นั่งกิน นั่งรอกันคนละมุม พอจะกลับออกมา สุดท้ายก็เดินจากไปไม่ได้ ต้องยืนมอง Tokyo Tower ที่มีแสงไฟอย่างหลงไหล มันสวยสะกดสายตาหน้าร้ายจิงๆ ไม่รู้ว่าคนอื่นจะอินไหม ส่วนตัวเรา อาจจะด้วยแปลกทีแปลกทาง แปลกตาเราเลยมองว่า ตึกหรือสถานที่ในญี่ปุ่นพอมืดมา เค้าให้แสงไฟได้สวยสะกดสายตาหน้าร้ายมากเชียว ^^


มา ว๊าปกันมาต่อ วันนี้เอาให้สุด เหนือ่ยไม่เหนื่อย เมื่อยเราแสนเมื่อย แต่ก็ เอายังมืดไม่มาไปกันต่อไหม ไหนๆออกมาแล้ว ตั๋วรถไฟเหมาวัน เอาให้คุ้ม เปิดว๊าป ที่นี่แล้วกัน ชิบุยะ กับรูปปั้นนุ้งหมา ฮาจิโกะ

ลานรูปปั้นฮาจิโกะหรือฮาจิโกะสแควร์ (บางครั้งก็เรียกว่าฮาจิโกะพลาซ่า) เป็นจุดนัดพบที่รู้จักกันดีที่สุดและมีผู้คนพลุกพล่านที่สุดในโตเกียว ลานรูปปั้นฮาจิโกะได้รับการขนานนามเพื่อเป็นเกียรติแก่รูปปั้นชื่อดังของเจ้าฮาจิโกะ สุนัขผู้ภักดี (忠犬ハチ公) ลานแห่งนี้มีห้างสรรพสินค้า สถานีรถไฟสองแห่งและทางข้ามย่านชิบูย่าเป็นรั้วล้อมรอบ ซึ่งทางข้ามนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นทางข้ามที่มีคนพลุกพล่านมากที่สุดในโลก



นี่ละจ้าาาาาาาาาาาาาาา ที่คุณลุงมาญี่ปุ่นเพราะอยากเจอเจ้าฮาจิโกะ หมาที่แสนซื่อสัตย์ที่สุดจนได้อนุเสารีย์หมากันเลยที่เดียวเชียว รูปปั้นฮาจิโกะแต่เดิมสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1934 เพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าฮาจิโกะที่ไปรอศาสตราจารย์อุเอโนะ ฮิเดะซะบุโร เจ้านายของมันทุกวันที่สถานีชิบูย่าหลังเลิกงาน ในปี ค.ศ.1925 ศาสตราจารย์อุเอโนะได้เสียชีวิตและไม่ได้กลับไปที่สถานีรถไฟอีก ถึงกระนั้นเจ้าฮาจิโกะก็ยังคงเฝ้ารอเจ้านายของมันที่เดิมเวลาเดิมทุกวันและรอต่อเนื่องอย่างนี้เป็นเวลาถึง 9 ปีจนกระทั่งลมหายใจเฮือกสุดท้าย





เรื่องความจงรักภักดีของเจ้าฮาจิโกะนั้นได้รับความสนใจและเป็นที่เลื่องลือมาก หลังจากที่รูปปั้นได้ปรากฏแก่สายตาผู้คนเจ้าฮาจิโกะก็ตายเนื่องจากโรคมะเร็งและการติดเชื้อพยาธิที่ระบบน้ำเหลืองในปีต่อมา แม้เจ้าฮาจิโกะจะหมดลมหายใจไปแล้วแต่เรื่องความจงรักภักดีของมันก็ยังคงได้รับการเล่าขานอย่างต่อเนื่องและในแต่ละวันจะมีผู้สัญจรผ่านรูปปั้นสุนัขสีน้ำตาลที่สถานีชิบูย่ากว่า 2.4 ล้านคน






















ห้าแยกชิบุย่านั้นได้ปรากฎตัวบนแผ่นฟิลม์มานักต่อนักแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Lost in Translation, Fast and the Furious และ Resident Evil เพราะฉะนั้นใช้เวลาอยู่กับมันให้เต็มที่! เก็บภาพให้หมด ทั้งผู้คน ตึกโดยรอบ และตัวคุณเองด้วย หากคุณคิดว่าเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศโดยรอบแล้ว ลองมองหาตึก Tsutaya นั้นคือเป้าหมายต่อไปของเรา หายใจลึกๆ รอจังหวะดีๆ แล้วก้าวข้ามฝั่งมาเลย ตอนนี้คุณกำลังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้ห้าแยกนี้คึกคักขึ้นมาแล้ว

























ที่ตึกTsutaya คือที่อยู่ของร้าน Starbucks ที่วุ่นวายมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก ชั้นสองของร้านนี้เป็นตำแหน่งยอดนิยมสำหรับการสังเกตผู้คนที่สัญจรไปมาผ่านห้าแยกชิบุย่า ต่อคิวซื้อกาแฟ(เนียนเข้าฟรีไม่ได้เพราะทางเข้าก็คือช่องต่อคิวซื้อกาแฟ) แล้วขึ้นบันไดมาชั้น2 หาที่นั่ง(ถ้ามีว่างนะ) มองฝูงชนที่หยุดนิ่งและเคลื่อนไหวตามจังหวะสัญญาณไฟจราจร แล้วลองถามตัวคุณเองว่ามันให้อารมณ์ต่างจากตอนที่คุณเป็นหนึ่งในนั้นหรือไม่



และแล้วเราก็ได้มาพอเจอด้วยตัวเอง 5 แยกชิบุยะที่แสนคนเยอะ วุ่นวายวืดวือ แต่ก็แสนจะมีเสน่ห์มากมายกันเลยทีเดียวเชียว วิวที่ดีที่สุดในการถ่ายรูป 5 แยกชิบุย่านั้นก็ต้องเป็นร้าน Starbuck น่ะสิจะที่ไหนได้ว่าแล้วก็ขอเอาคลิปมาให้ดูว่า เวลามีชีวิตชีวา เป็น VDO แล้ว 5แยกจะวุ่นวายขนาดไหนกัน





ฝากคลิปไว้ใด้ดูเพลินๆก่อนเนอะ ว่า 5 แยกชิบุย่าในตำนานมันเป็นยังไง เนอะ สั้นๆแต่ดูวนไปวนมาอยุ่แบบนี้ ฮ่าๆๆๆๆๆ



 ส่วนอันนี้เป็นจากในหนังเพื่อใครนึกไม่ออกและไม่อิน ส่วนหน้าร้ายนั้นนนนนนนนนนน อินมากเจ้าค่ะ ดูเพลิน พอเห็นแล้วเลยต้องย้อนกลับไปดูอีกจนได้ ทำได้ ถ่ายทำกันจนได้ ถือว่าเก่งมาก ดูวนๆไปนะจ๊ะ



































เหนื่อยมาทั้งวัน แวะมากินราเมง ใกล้ๆที่พัก พร้อมด้วยอะไรเย็นๆเนอะ จะได้สดชื่นนนนนนนนนนนนนนนน  ฮ่าๆๆๆๆ ชอบจิงๆเลย ทำไมเบียร์ที่นี่กินแล้วอร่อยละ ทำไมไม่ขมเลยทั้งสด ดราฟ ขวด กระป๋อง ทำไมอร่อยหมดเลย หรือเป็นเพราะอากาศหรือเป้นเพราะอะไรใครก็ได้บอกหน้าร้ายหน่อยยยยยยยยยยยยยยยยย




ยังจ้ายังไม่จบเรื่องของวันนี้ ไหนๆก็ไม่ค่อยมีคนแล้ววววว ใกล้ที่พักอีกต่างหาก เอ้าลุยสิ ครัชเหนื่อยแค่ไหนเราก็ไม่ท้อ ขอให้ได้แอคท่าถ่ายรูปปปปปปปปปปปปปปป


วัดเซ็นโซจิ (ญี่ปุ่น浅草寺 โรมาจิSensō-ji) หรือรู้จักในชื่อ วัดอาซากูซะ เป็นวัดพุทธในย่านอาซากูซะ แขวงไทโต โตเกียว เป็นวัดที่เก่าแก่และมีความสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในโตเกียว สถานที่ดั้งเดิมถูกระเบิดเผาทำลายไปเกือบหมดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัววัดปัจจุบันถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด แรกเริ่มเคยเป็นวัดในสายเท็นได ต่อมาได้แยกเป็นอิสระหลังสงครามโลกครั้งที่สอง บริเวณติดกับวัดเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าอาซากูซะ ซึ่งเป็นศาลเจ้าในศาสนาชินโต
วัดเซ็นโซจิเป็นสถานที่จัดเทศกาลที่ใหญ่ที่สุดและได้รับความนิยมมากที่สุดในโตเกียว เทศกาลมีระยะเวลา 3-4 วัน ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างนี้ถนนใกล้เคียงจะปิดการจราจรตั้งแต่เช้าจนถึงหัวค่ำ


ประตูโฮโซมง (Hozomon Gate)  “ประตูคลังสมบัติ”
ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติจำนวนมาก เดินทางมาเยี่ยมชมวัดเซ็นโซจิ บริเวณรอบๆวัดจึงมีร้านค้าขายสินค้าและอาหารพื้นเมืองญี่ปุ่นมาวางขายจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ถนนนากามิเสะ ซึ่งทอดยาวตั้งแต่ประตูสายฟ้าไปจนถึงบริเวณวัด สองข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้าเล็ก ๆ ขายของที่ระลึกต่าง ๆ เช่น พัด ภาพวาดแผ่นไม้ ชุดกิโมโน เสื้อคลุมแบบต่าง ๆ ม้วนภาพเขียน ขนมหวานพื้นเมือง ไปจนถึงหุ่นยนต์ของเล่น เสื้อยืด หรือของประดับโทรศัพท์มือถือ ตู้บริจาคใบโต ไกด์แนะนำว่าให้โยนเหรียญบริจาคลงไป และควรจะบริจาคเป็นเหรียญที่มีเลข 5 ทั้ง 5 เยน 50 เยน หรือ 500 เยน ซึ่งให้ความหมายที่ว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง ในบริเวณวัดยังมีสวนที่เงียบสงบ ซึ่งได้รับการดูแลรักษาให้เป็นสวนแบบญี่ปุ่นไว้ได้อย่างดี


ตามตำนานเริ่มจากการที่ชาวประมงสองพี่น้องซึ่งจะออกหาปลาทุกวันที่แม่น้ำสุมิดะ (Sumida River) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ตั้งของวัด แต่แล้ววันหนึ่งทั้งสองพี่น้องก็จับปลาไม่ได้สักตัว จึงได้อธิษฐานขอกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้จับปลาได้ พอลองทอดแหดู กลับได้มาเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมทองคำสูงประมาณ 5 นิ้วแทน ทั้งสองจึงได้นำกลับมาที่หมู่บ้าน เมื่อหัวหน้าของหมู่บ้านได้ทราบเรื่อง ก็ได้ปรับปรุงบ้านของตนแล้วสร้างเป็นวัดเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมเพื่อให้คนได้มาสักการะบูชา เนื่องจากสิ่งที่ขอพรมักจะเป็นจริงอยู่เสมอ จึงมีผู้คนจากทั่วสาระทิศเดินทางมาเพื่อสักการะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมนี้


วัดเซ็นโซจิ นี้สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์คันนง ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ประมาณปี ค.ศ. 628 มีชาวประมง 2 พี่น้อง ชื่อว่า ฮิโนกูมะ ฮามานาริ และฮิโนกูมะ ทาเกนาริ ทุกวันจะออกหาปลาที่แม่น้ำซูมิดะ มีอยู่วันหนึ่ง วันนั้นทั้งวันจับปลาไม่ได้สักตัว จึงอธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้จับปลาได้สักตัว เพื่อกลับไปทานเป็นอาหารเย็น พอเหวี่ยงแหออกไป สิ่งที่ติดแหขึ้นมา กลับเป็นพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมทองคำ สูง 5 นิ้ว จึงนำไปให้หัวหน้าหมู่บ้านของทั้งสองชื่อว่า ฮาจิโนะ นากาโมโตะ หัวหน้าหมู่บ้านได้ตระหนักถึงความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าแม่กวนอิม จึงได้เปลี่ยนแปลงบ้านของตนในอาซากูซะให้กลายเป็นวัดขนาดเล็ก เป็นที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์ เพื่อให้คนในหมู่บ้านมากราบไหว้บูชา ทั้งชาวบ้านและเหล่าซามูไรมักจะเดินทางมาขอพรจากเจ้าแม่กวนอิมเป็นประจำ และสิ่งที่ขอพรไปนั้นก็มักจะสมปรารถนาอยู่เสมอ ๆ ทำให้ชาวบ้านและเหล่าซามูไรมีความเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์เจ้าแม่กวนอิมนี้ ได้แพร่กระจายไปทั่วญี่ปุ่น มีคนจากทั่วสารทิศเดินทางมาวัดเซ็นโวจิเพื่อสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิม จนล่ำลือไปถึงท่านโชกุน ท่านโชกุนจึงได้ให้มีการสร้างอาคารหลังใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 645 และต่อเติมส่วนต่าง ๆ เรื่อยมาอย่างที่เห็นในปัจจุบันนั้น

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1945 อาคารส่วนใหญ่ของวัดเซ็นโซจิ ได้รับความเสียหายจากการถูกทิ้งระเบิด และถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในภายหลัง ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และความสงบสุขให้กับคนญี่ปุ่น


ถนนนากามิเซะคือถนนที่เป็นทางเชื่อมระหว่างคามินาริมงและวัดเซ็นโซจิ ถนนนากามิเซะเป็นหนึ่งในย่านร้านค้าที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น มีความยาว 250m และมีร้านค้าเรียงรายอยู่ถึง 89 ร้านที่ถนนนากามิเซะมีร้านขายเซ็มเบ้และนินเกียวยากิ(ขนมญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่อบเป็นรูปตุ๊กตาหรือหน้าตัวการ์ตูน)ที่ย่างโดยฝีมือของช่างทำขนมเรียงรายอยู่หลายร้าน บางร้านก็เปิดกิจการมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในสมัยอดีต เป็นสถานที่ๆเหมาะสมมากในการมาเดินเลือกซื้อขนมพื้นบ้านของญี่ปุ่น
มาดึกสะแล้วน่ะสิ เงียบสงัดไปหมด แต่ก็ชอบที่ได้เดินเล่นถ่ายรูป เพราะกลางวันจนถึงเย็นเป็นวัดที่คนเดินเยอะมากมายจริมๆ แต่ก็ครึกครื้นมากเลย วันนี้เที่ยวคุ้มมากกกกกกกกกกกกก ว่าแล้วก็ดึกแล้วหน้าร้ายขอตัวไปพักผ่อนนอนหลับก่อนเนอะ 
ปล. แต่ยังไม่จบเนอะ พาร์ทหน้ารวบจบเลยอีก Part นึงนะ รอนะ รออ่านกันนะ กราบละ ทิ้งท้ายด้วยรูปหน้าร้ายเจ้าของบล็อคเนอะ รักกันต้องตามอ่านน๊าาาาาา ^^






ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ชุมชนขนมแปลก หนองบัว จันทบุรี

จันทบุรีในวันที่ฟ้าครึ้มและฝนโปรยปราย