จันทบุรีในวันที่ฟ้าครึ้มและฝนโปรยปราย

             
              โหล โหล โหล 3 โหลแล้วเถอะ ทริปนี้ เมื่อฝนตกหนัก เมื่อกาญเททริปที่จะโดดน้ำตก ก็เลยคิดหนักว่าจะไปไหนดี ดูไปดูมา ชุมชนริมน้ำ จันทบูร ดีกว่าชิวๆเนอะ ป่ะว่าแล้วก็ ลุยยยยยยยย....

ที่แรกกันเลย.... ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจันทบุรี
เราก็ไปเจอฉลามมมมมมมมมมมมมมมมมลายเสือ ตัวนี้น่าสนใจมากกว่าตัวอื่น สวยแปลก....


                            แดดร้อนเพลิดเพลินกับการดูปลาฉลาม ปลาชนิดอื่นๆที่เพาะพันธุ์กันไปแล้ว ว่าแล้วก็ไปกันต่อ สถานีต่อไปลุยยยยยยยยยยยยยยย ขับรถไปเรื่อยๆ ตามสถานที่เช็คอินที่อ่านๆมาก็ตรงนี้แหละ ปึงงงงงงงงงงงงงงง "สะพานแหลมสิงห์"


         ที่นี่ก็เป็นที่นึงที่ นักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาก็จะแวะ ข้อดีก็คือ กลางสะพานจะทำเว้าออกไปเพื่อให้รถสามารถจอดแอบ เพื่อถ่ายรูปไม่เกะกะ ไม่อันตราย อันนี้ขอชมว่า ดีค่ะ เหมาะมากถ้าจะอยากให้ถ่ายวิวบนสะพาน ถ่ายวิวแม่น้ำ ถ่ายป้ายอะไรต่างๆ โอเคกับการที่ทำที่จอดรถริมทางกลางสะพานไว้ด้วย



     ไม่ต้องถามถึงอากาศกันเลย ดูจากหน้าก็แล้วกัน ถึงก่ะถอดแว่นไม่ได้เลยกันเชียว แดดไม่ๆๆๆๆ ไม่ไหม้แล้วจะละลายกันเลยทีเดียวเชียววววววววววว เดี๋ยวลงสะพานไปก็จะไปเจอกับ "ตึกแดง" ว่าแล้วก็ไปกันเลย ลุยๆๆๆๆๆ



ตึกแดง แหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของจังหวัดจันทบุรี เป็นประวัติอันขมขื่นของคนไทยที่เมืองจันทบุรีอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศสถึง 11 ปี (พ.ศ.2436 – 2446) สถานที่แห่งนี้มีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน กว่าจะมาเป็นเมืองจันทบุรี และเป็นไทยอยู่ทุกวันนี้บรรพบุรุษของเราต้องแลกกับเลือดเนื้อ ดินแดน และทรัพย์สิน
ตึกแดง และ คุกขี้ไก่ สร้างขึ้นโดยฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2436 ในยุคของอินโดจีนฝรั่งเศส หรือ วิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ในสมัยนั้นฝรั่งเศสได้แผ่อาณานิคมเข้ามาที่ลาว กัมพูชา เวียดนาม และได้หาเรื่องรุกรานไทยโดยอ้างว่า ดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงคือ อาณาจักรลาวเกือบทั้งหมด ฝรั่งเศสได้บุกเข้ามาที่กรุงเทพฯ เพื่อต้องการดินแดนส่วนนี้ กับพื้นที่ในจังหวัดตราด และยังต้องการค่าเสียหายอีกเป็นจำนวนถึง 3 ล้านฟรังก์เหรียญทอง หรือราว 1.56 ล้านบาทในขณะนั้น
ในปี พ.ศ. 2557 ได้มีการปรับปรุงตึกแดงให้เป็นอาคารห้องสมุดและศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนของ อ.แหลมสิงห์ ต่อมาได้ถูกยกเลิกและทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว


       สำหรับ "จุดชมวิวลานหินสีชมพู" แหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดจันทบุรี ตั้งอยู่ภายในบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์คุ้งกระเบน อำเภอท่าใหม่ โดยในช่วงเวลาน้ำลงตอนกลางวัน ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน จะเผยโฉมหินสีชมพูอมม่วง-สีน้ำตาลแดง ออกมาให้ได้ยลความสวยงามโดดเด่น ซึ่งปัจจุบันศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้เปิดพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัด เพื่อให้ประชาชนเข้ามาท่องเที่ยวและศึกษาเส้นทางเดินธรรมชาติได้ทุกวัน


          ส่วนช่วงเวลาสามารถเดินทางมาเที่ยวชมได้ตลอดทั้งปี (ในช่วงเวลาน้ำขึ้นอาจจะเปียกหน่อย) และจะสวยงามในช่วงแสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วลานหินทำให้เกิดสีชมพูที่โดดเด่นขึ้นมา อีกทั้งยังมีช่วงเวลาแนะนำอื่น ๆ สำหรับใครที่มาชมความสวยงามของลานหินสีชมพูแห่งนี้ คือช่วงเช้าพระอาทิตย์ขึ้นถึง 9 โมงเช้า ช่วง 4 โมงเย็นถึงพระอาทิตย์ตกดิน และช่วงฟ้าเปิดหลังจากที่ฝนตกใหม่ ๆ


ชุมชนริมน้ำจันทบรู ชุมชนเก่าแก่ริมแม่น้ำจันทบุรีด้านตะวันตก แต่เดิมรู้จักกันในชื่อที่เรียกกันติดปากว่า "บ้านลุ่ม" ซึ่งเป็นชุมชน เก่าแก่ของชาวจีนและญวนอพยพตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ต่อมาได้พัฒนามาเป็น ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการค้าของ จันทบุรีที่สำคัญแห่งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันคือสถานที่ท่องเที่ยว ที่หากใครที่มาเยือนจังหวัด จันทบุรี แล้วไม่ควรพลาด  มีจุดเริ่มต้นจากเชิงสะพานวัดจันทร์ เป็นแนวไปตลอดจนถึงชุมชนตลาดล่าง บริเวณที่เรียกว่าท่าเรือจ้างอาคาร ส่วนใหญ่ เป็นที่พักอาศัย และร้านค้าของชุมชนที่มีอายุเกือบร้อยปี ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะเป็นตึกแถวโบราณลวดลายไม้จำหลักอ่อนช้อย งดงาม อยู่ตามบานประตูหน้าต่างและมุมอาคาร ซึ่งจะพบรูปแบบเรือนขนมปังขิงปะปนอยู่ด้วย เพราะชาวจันทบุรีได้รับอิทธิพลจากการ ติดต่อค้าขายกับชาวต่างประเทศเมื่อสมัย ร. 5 ลักษณะการฉลุลายของช่างฝีมือชาวจันทบุรี จัดได้ว่า มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะการจำหลักฉลุช่องลม เป็นภาพจำหลัก นูนรูปหัวพยัคฆ์สอดแทรกอยู่ตามกิ่งเครือเถา หรือความคมเฉียบของลายที่แฝง ไปด้วยความอ่อนช้อย ของลายจำหลักจึงถือว่าเป็นย่านประวัติศาสตร์ของจันทบุรี  


ประวัติชุมชนเก่าริมน้ำจันทบูร
ย่านท่าหลวง-ตลาดล่าง มีความสำคัญต่อบทบาทการค้ากับต่างประเทศของจันทบุรีในยุคนั้น คือเป็นจุดที่เรือบรรทุกสินค้าของป่าที่ รวบรวมมาได้จากป่าแถบตะเคียนทอง น้ำขุ่น คลองพลู วังแซ้มในบริเวณ เขาคิชฌกูฎและ เขาสอยดาว จะล่องลงมาตามลำน้ำจันทบุรี และ มาเทียบท่าที่ตลาดท่าหลวงโดยมีกล่มชาวชองซึ่งเป็นชนพื้นเมือง เดิมที่อาศัยอยู่ในแถบเทือกเขาในจันทบุรี ระยอง และตราด เป็นแรงงานในการจัดเก็บของป่านำมาจำหน่าย ในตัว เมืองจันทบุรี ในปีหนึ่งชาวชองจะล่องแพนำสินค้ามาจำหน่ายในเมืองเพียง ครั้งเดียว คือในระหว่างเดือน 10 ถึง 12 (เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน) เนื่องจากเป็นฤดูน้ำหลากสามารถล่องแพลงมาตามลำน้ำ ได้สะดวก ส่วนในฤดูแล้ง ระหว่างเดือน 3 ถึง 5 (เดือนกุมพาพันธ์ถึงเดือนเมษายน)ต้องลำเลียงทางเกวียนซึ่งลำบากและใช้เวลานาน จึงไม่ เป็นที่นิยมในช่วงที่กองทหารฝรั่งเศสเข้ามายึดครองจันทบุรี (พ.ศ. 2436-2447) การค้าขายในย่านนี้เป็นไปอย่างคึกคัก นอกจากสินค้าป่าแล้ว ยังมีการลักลอบจำหน่ายสินค้าประเภทสุรา ฝิ่น กาแฟ ชา การเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจของย่านท่าหลวง-ตลาดล่างส่งผลให้ทางรัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค ต่างๆ ในบริเวณนี้ก่อนบริเวณอื่น


                      โบสถ์วัดแม่พระปฏิสนธินิรมล ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงเรียนสตรีมารดาพิทักษ์ (เดิมเป็นโรงเรียนสอน ศาสนา)เป็น โบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาธอลิก มีลักษณะตามศิลปะแบบโกธิก ดิมมีหลังคาเป็นยอดแหลมแต่ได้มี การรื้อส่วนแหลมออกในสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อไม่ให้เป็นเป้าหมายในการโจมตีทางอากาศ มีการตกแต่ง โบสถ์ไม้ฉลุลายประดับกระจกสี เป็นรูปนักบุญ ในศาสนาคริสต์รูปปั้นพระแม่มารีสีหน้าสงบ เปี่ยมประกายเมตตา ยืนอยู่หน้าวิหารทรงโกธิกซึ่งดูยิ่งใหญ่ หากภายในกลับมีแต่ ความสงบเย็น และงดงามด้วยศิลปะตกแต่ง แบบยุโรป อาคารอันงดงามนี้ยืนหยัดผ่านกาลเวลามากว่าศตวรรษ โบสถ์แม่พระปฏิสนธิ จึงมิเพียงเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดเท่านั้น หากยัง เป็นศูนย์รวมศรัทธาของผองชาวคริสต์ทั้งปวง มิเพียงเฉพาะเมืองจันทบูรแต่ครอบคลุม ไปทั่วฝั่งทะเลตะวันออกทีเดียว


 นอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวคริสต์ในเมืองจันทร์และ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของ เมืองจันท์แล้วมีรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นประจำปี 2542 จากสมาคมสถาปนิก สยามการันตี ในความน่าสนใจของโบสถ์หลังนี้ ส่วนทางททท.ก็ยกให้โบสถ์วัดแม่พระฯ เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์ประเภทมุมมองใหม่


               ปิดท้ายทริปโดยการที่นอนแถวชุมชนริมน้ำจันทบูรสะ 1 คืนแล้วกันเนอะ ปิดท้ายด้วยของดี ของดังเมืองจันทบุรีที่มาแล้วเมนูธรรมดานี้ ต้องลองกันให้นะจ๊ะ ....ข้าวคลุกพริกเกลือ กับไอศกรีมโบราณ



    ปิดท้ายทริปด้วยความสุขเล็กๆ การเดินทางเล็กๆ ขับรถไปเรื่อยๆ หาที่เที่ยวไปเรื่อยๆ ตามแบบฉบับ หน้าร้ายพาเที่ยว ส่วนการไปเที่ยวรอบหน้า ที่ไหนนั้น ต้องตามมาอ่าน มาดูกันนะ จะได้รู้ว่าจะพาไปสบาย ไปลำบาก ไปเหนื่อย ไปสนุก ยังไง ....บัยยยยยยยยยยยย ^^

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Hello Tokyo (Ueno Park) Part 4

ชุมชนขนมแปลก หนองบัว จันทบุรี

ทุ่งโปร่งทอง...ระยองฮิ